1. หน้าแรก
  2. / Blog
  3. / รวม 6 สาเหตุที่ทำให้หน้าเป็นฝ้า

รวม 6 สาเหตุที่ทำให้หน้าเป็นฝ้า

แชร์หน้านี้

เมื่อพูดถึงปัญหาผิวหน้าที่สร้างความรำคาญใจให้กับสาว ๆ หรือหนุ่ม ๆ หลายคน หนึ่งในนั้นจะต้องมีปัญหา หน้าเป็นฝ้า รวมอยู่ด้วยแน่นอน เพราะรอยสีน้ำตาล หรือรอยดำที่อยู่บนใบหน้านี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะรักษาให้หายขาด หรือทำให้จางลงได้ยากมาก และต้องใช้ระยะเวลารักษาติดต่อกันอย่างยาวนาน

เพื่อป้องกันไม่ให้หน้าเกิดฝ้าขึ้น ในบทความนี้ คาร่าสกิน (Kara Skin) จะพาไปทำความรู้จักฝ้าแบบเจาะลึก มีลักษณะอย่างไร เกิดขึ้นบริเวณไหนได้มากที่สุด แล้วมีสาเหตุใดบ้างที่ทำให้เกิดฝ้า เพื่อที่คุณจะได้หลีกเลี่ยงสาเหตุได้อย่างตรงจุด และป้องกันไม่เกิดฝ้าบนใบหน้าขึ้นมา

หน้าเป็นฝ้า มีลักษณะอย่างไร?

ฝ้าบนใบหน้าเป็นหนึ่งในปัญหาผิวหน้าที่สามารถพบได้ทั่วไป ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย แต่อาจส่งผลกระทบต่อความสวยงาม บุคลิกภาพ และความมั่นใจได้ โดยลักษณะของฝ้าบนใบหน้าจะขึ้นอยู่กับชนิดของฝ้า และระดับความลึกของฝ้า ดังนี้

  • ฝ้าตื้น : ฝ้าจะเกิดในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นนอกสุด จะมีสีน้ำตาลและขอบชัด เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นได้ง่าย แต่ก็สามารถรักษาได้ง่ายเช่นกัน โดยการทาครีมบำรุงผิวที่มีส่วนช่วยในการลดฝ้า และทาครีมกันแดดเป็นประจำ
  • ฝ้าลึก : ฝ้าจะเกิดในชั้นหนังแท้ (Dermis) จะมีสีน้ำตาลเข้ม ไปจนถึงสีน้ำตาลอมฟ้า หรือสีน้ำตาลอมม่วง ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ลึกแค่ไหน เป็นฝ้าที่รักษาได้ยากมาก และต้องใช้ระยะเวลารักษายาวนาน
  • ฝ้าผสม : เป็นฝ้าที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดขึ้นในชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้พร้อมกัน โดยจะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้มตรงกลาง และส่วนขอบจะมีสีน้ำตาลอ่อน

ฝ้าเกิดขึ้นบริเวณใดบ่อยที่สุด?

เนื่องจากแสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า “ผิวหน้า” ที่เป็นส่วนที่มีโอกาสสัมผัสแสงแดดได้บ่อยที่สุดจึงเป็นส่วนที่เกิดฝ้าได้บ่อยมากที่สุดนั่นเอง โดยหน้าเป็นฝ้ามักจะเกิดบริเวณผิวหน้าที่สัมผัสแดดมากที่สุด ได้แก่ บริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก เหนือริมฝีปากบน และกราม

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อหน้าเป็นฝ้า

ฝ้าบนใบหน้ามักเริ่มเป็นในช่วงอายุ 30 – 40 ปี ซึ่งสามารถพบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มคนต่อไปนี้จะมีความเสี่ยงในการเป็นเกิดฝ้าได้มากกว่าปกติ ได้แก่

  • ผู้ที่มีผิวขาวเหลือง ผิวสีแทน ผิวสีน้ำผึ้ง หรือผิวดำ
  • ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนบำบัด
  • ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 2 หรือ 3
  • ผู้ที่ต้องทำงาน หรือกิจกรรมที่อยู่กลางแจ้งเป็นประจำ
  • ผู้ที่ทำงาน หรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดความเครียดเป็นประจำ
  • ผู้ที่นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือต้องอดนอนบ่อย ๆ

สาเหตุของปัญหาหน้าเป็นฝ้า

ฝ้าบนใบหน้า เกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก ๆ คือ การถูกกระตุ้นจากรังสีต่าง ๆ เช่น รังสียูวี, แสงที่ตามองเห็น หรือรังสีอินฟราเรด และฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งมีหลายสาเหตุที่กระตุ้นให้ผลข้างเคียงจากปัจจัยเหล่านี้รุนแรงขึ้น และทำให้เกิดฝ้าตามมา

1. เครื่องสำอาง (Cosmetics)

เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิดอาจทำให้เกิดความเป็นพิษเมื่อถูกกระตุ้นด้วยรังสียูวีได้ เรียกภาวะนี้ว่า “พิษจากแสง (Phototoxic)” ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์ผิวเสียหาย เกิดการอักเสบ เกิดฝ้า กระ รวมถึงปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมาได้เพื่อป้องกันการเกิดภาวะพิษจากแสง จึงควรเลือกใช้เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ได้มาตรฐาน ได้รับการรับรองว่าอ่อนโยน ผิวแพ้ง่ายสามารถใช้ได้ อย่างเช่น เซรั่มคาร่า (KARA SKIN ABSOLUTE WHITE SERUM) เซรั่มรักษาฝ้าบนใบหน้าที่ผ่านการทดสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ​ (Dermatologically Tested) ได้รับการรับรองว่าอ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว ปราศจากสารอันตราย 10 ชนิด เช่น สารตะกั่ว สารไฮโดรควิโนน หรือสารสเตียรอยด์ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หรือคุณแม่ตั้งครรภ์ก็สามารถใช้ได้อย่างมั่นใจ

2. ยารักษาโรค (Medicine)

รู้หรือไม่ว่า มียารักษาโรคหลายชนิดที่มีผลข้างเคียงที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าบนใบหน้าได้ เช่น ยาต้านอาการชัก ยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคจิตเภท เรตินอยด์  หรือยาคุมกำเนิด เป็นต้น ดังนั้นเพื่อป้องกันการได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงควรปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์ก่อนใช้ยาทุกครั้ง ไม่ควรซื้อยารักษาโรคมารับประทานด้วยตนเอง

3. การตั้งครรภ์ (Pregnancy)

ในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนมากกว่าปกติ ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีมากขึ้น ส่งผลให้เกิดฝ้าบนใบหน้า รวมถึงรอยดำตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็น คอ รักแร้ ขาหนีบ หน้าท้อง หรือหัวนม ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วฝ้าและรอยดำเหล่านี้ จะค่อย ๆ จางลงหลังจากที่คุณแม่คลอดบุตรแล้ว

4. พันธุกรรม (Genetics)

ในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายีนใดที่ทำให้เกิดฝ้าบนใบหน้า แต่พบว่า คนที่มีปัญหาฝ้าบนใบหน้ามักมีคนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ หรือพี่น้อง เป็นฝ้าด้วยเสมอ

5. ฮอร์โมน (Hormones)

มีฮอร์โมนหลายชนิดที่กระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสี หรือเกิดฝ้าบนใบหน้า เช่น ฮอร์โมนเพศหญิงอย่าง “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอโรน” จึงสังเกตได้ว่า ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด ผู้หญิงที่ใกล้จะมีประจำเดือน หรือหญิงตั้งครรภ์จะมีฝ้าได้ง่ายกว่าปกติ หรือฮอร์โมนความเครียดอย่าง “คอร์ติซอล” ก็สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน เพราะหนึ่งในสารตั้งต้นที่ทำให้เกิดคอร์ติซอลก็คือฮอร์โมนเมลาโนไซต์สติมูเลติง (Melanocyte Stimulating Hormone) ต้นตอของการทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอนั่นเอง

6. แสงแดด

แสงแดด ไม่ว่าจะเป็น รังสีอัลตราไวโอเลตชนิดเอ หรือชนิดบี รวมถึงแสงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ล้วนสามารถกระตุ้นให้เกิดการผลิตเม็ดสีเมลานิน และทำให้เกิดฝ้าบนใบหน้าตามมาได้

นอกจากนี้แสงแดดยังสามารถกระตุ้นให้ฝ้าที่เป็นอยู่ มีสีที่เข้มขึ้น หรือขยายใหญ่ขึ้นได้ด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัด

จะเห็นได้ว่า มีหลายสาเหตุที่ทำให้หน้าเป็นฝ้า ไม่ว่าจะเป็น ผลข้างเคียงจากใช้เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือยารักษาโรค การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย การตั้งครรภ์ หรือการถูกกระตุ้นจากแสงแดด ซึ่งการหลีกเลี่ยงสาเหตุเหล่านี้จะช่วยลดการเกิดฝ้าบนใบหน้าได้ อย่างไรก็ตาม ในสาเหตุที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างการตั้งครรภ์ ก็สามารถป้องกันไม่ให้ฝ้ารุนแรงขึ้นได้ โดยการเลือกใช้เซรั่มบำรุงผิวที่อ่อนโยนและมีคุณสมบัติในการรักษาฝ้าตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยให้ฝ้าที่มักเกิดจากการตั้งครรภ์ดีขึ้นได้ ซึ่งเซรั่มคาร่าเป็นหนึ่งในเซรั่มที่ผ่านการรับรองโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ไม่มีสารอันตราย คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย

แชร์หน้านี้
สนใจติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม