1. หน้าแรก
  2. / Blog
  3. / รวมเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับรอยแดงจากสิว

รวมเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับรอยแดงจากสิว

แชร์หน้านี้

“รอยแดงจากสิว” หนึ่งในปัญหาผิวกวนใจของคนที่เป็นสิวอักเสบบนใบหน้า หากมีแค่ไม่กี่รอยก็คงไม่ส่งผลอะไรมากนัก แต่ในคนที่มีรอยแดง หรือรอยดำจากสิวมาก ๆ จนสังเกตเห็นได้ชัด ก็อาจทำให้สภาพผิวหน้าโดยรวมดูไม่เรียบเนียน ไม่กระจ่างใส ซึ่งในบางคนก็อาจเป็นกังวลจนส่งผลต่อความมั่นใจได้

สำหรับใครที่กำลังกังวลใจกับปัญหารอยสิวนี้ แล้วไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี คาร่าสกิน (Kara Skin) มีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีดูแลรักษาและลดรอยสิวให้จางลงอย่างเห็นผลมาฝาก จะน่าสนใจแค่ไหนนั้น ไปดูกันเลย

รอยแดงจากสิวเกิดจากอะไร?

รอยแดงที่เกิดจากสิว จะเกิดจาก “สิวอักเสบ” ซึ่งมีลักษณะเป็นตุ่มแดงและตุ่มหนอง และ “สิวหัวช้าง” หรือที่เรียกว่า “ซีสต์” ซึ่งเป็นสิวอักเสบในระดับรุนแรง มีลักษณะเป็นไตแข็ง บวม แดง และกดเจ็บ โดยในขณะที่สิวเกิดการอักเสบ จะเกิดการขยายตัวของหลอดเลือดในบริเวณนั้นด้วย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี เช่น ไปบีบ กด แกะ หรือเกาอย่างผิดวิธี แทนที่จะทายาลดการอักเสบ หรือฉีดยาสเตียรอยด์เข้าเฉพาะจุด ก็จะทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวกลายเป็นรอยแดง ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งรอยแดงชั่วคราว และรอยแดงถาวร

รอยแดงจากสิว vs รอยดำจากสิว แตกต่างกันอย่างไร?

รอยแดงและรอยดำมีสาเหตุการเกิดคล้าย ๆ กัน คือ เกิดจากการอักเสบบริเวณผิวหนัง แล้วไม่ทำการรักษาอย่างถูกวิธี แต่จะมีข้อแตกต่างกันดังนี้

รอยแดงจากสิว

  • เกิดจากการอักเสบที่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังร่วมกับการขยายตัวของเส้นเลือดฝอย
  • ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดรอยแดง คือ การบีบ แคะ หรือแกะสิวที่อักเสบจนทำให้เกิดอาการบวมช้ำ และเป็นรอยแดงตามมา
  • รอยแดงที่เกิดจากสิวอาจเป็นได้ทั้งแบบชั่วคราว สามารถหายได้เองเมื่อระยะเวลาผ่านไป และแบบถาวรที่จำเป็นจะต้องรักษาด้วยการทำเลเซอร์

รอยดำจากสิว

  • เกิดจากเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจากสิวอักเสบ แล้วมีการรักษาที่ไม่สมบูรณ์ ร่วมกับมีการรวมตัวกันของเม็ดสีเมลานิน
  • ลักษณะความเข้มและสีของรอยดำจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบ
  • ส่วนใหญ่จะเกิดหลังจากที่สิวอักเสบหายดีแล้ว
  • รอยดำสามารถจางลงได้เองตามธรรมชาติ ภายในระยะเวลา 3 เดือนขึ้นไป แต่สามารถหายได้เร็วขึ้นหากเลือกใช้ครีมรักษารอยสิวที่มีสารยับยั้งการสร้างเม็ดสี หรือเร่งผลัดเซลล์ผิว
  • หากสัมผัสแสงแดดบ่อย ๆ รอยดำจากสิวจะถูกกระตุ้นให้สีเข้มขึ้นได้ คล้ายกับฝ้า หรือกระบนใบหน้า

วิธีลดรอยดำรอยแดงจากสิว และวิธีทำให้รอยสิวหาย

แม้ว่ารอยแดงและรอยดำที่เกิดจากสิวจะมีสาเหตุมาจากการอักเสบเหมือนกัน แต่กระบวนการที่ทำให้เกิดรอยนั้นต่างกัน ซึ่งส่งผลให้วิธีดูแลรักษาให้รอยสิวจางลง หรือวิธีทำให้รอยสิวหายต่างกันตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม 5 วิธีลดรอยดำรอยแดงจากสิวที่คาร่าสกินนำมาฝากในบทความนี้ สามารถช่วยรักษาทั้งรอยดำและรอยแดงให้จางลงได้อย่างแน่นอน!

1. ใช้ครีมรักษารอยสิว

การเลือกใช้ครีมรักษารอยสิวที่มีประสิทธิภาพและเหมาะกับสภาพผิวหน้าของตนเอง เป็นหนึ่งในวิธีรักษารอยสิวที่เห็นผล และมีราคาค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง โดยวิธีการเลือกครีมรักษารอยสิวจะขึ้นอยู่กับปัญหาสิวที่ตนเองมี หากเป็นสิวอักเสบ แนะนำให้ใช้ยาทาหรือเวชภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบ เพื่อป้องกันไม่ให้สิวอักเสบพัฒนาไปเป็นสิวหัวช้าง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดรอยแดงได้

ในส่วนของคนที่เป็นรอยดำหลังจากที่สิวอักเสบหายดีแล้ว สามารถเลือกใช้ครีมรักษารอยสิวที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี หรือมีฤทธิ์ในการเร่งการผลัดตัวของเซลล์ผิวก็จะช่วยให้รอยดำที่เกิดจากสิวจางลงได้อย่างรวดเร็ว

ยกตัวอย่างเช่น “เซรั่มคาร่า (KARA SKIN ABSOLUTE WHITE SERUM)” เป็นเซรั่มที่ช่วยบำรุงผิวให้กระจ่างใสมากขึ้น เติมความชุ่มชื้นให้กับผิว พร้อมกับลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแดงรอยดำจากสิว และยกกระชับผิวได้ในคราวเดียวกัน เห็นผลภายใน 14 วัน ยืนยันจากผลการทดสอบจากผู้ใช้จริง

สาเหตุที่เซรั่มคาร่าสามารถช่วยดูแลผิวได้อย่างครอบคลุม เพราะมีการใส่สารสกัดบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพถึง 10 ชนิด เช่น

  • SUPEROX-C™️ : สารสกัดจากผลคาคาดูพลัมที่มีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 100 เท่า ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส ลดรอยแดง ลดการสร้างเม็ดสีผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ 
  • X50 Pure White : สารสกัดที่ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใสและลดรอยดำได้ถึงต้นตอ เพราะมีนวัตกรรมนำส่งสาร The Cosmetic Drone™ ที่สามารถส่งสารสกัดไปทำงานที่เซลล์สร้างเม็ดสีผิวเมลาโนไซต์โดยตรง
  • AMITOSE-GOA : นวัตกรรมวิตามินซีใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่น มีความเสถียรสูงมาก ไม่เปลี่ยนสีเมื่อสัมผัสอากาศ หรือแสง และสามารถช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ต้นตอที่ทำให้ผิวสีเข้มขึ้น
  • GIGAWHITE : สารสกัดธรรมชาติจากเทือกเขาแอลป์ 7 ชนิด เช่น ใบและดอกมาลโลว์ ใบเปปเปอร์มินต์ สปีดเวลล์ เลมอนบาล์ม หรือยาร์โรว ซึ่งล้วนแต่มีสรรพคุณในการบำรุงผิว ปลอบประโลมผิว และทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
  • Alpha Arbutin : อีกหนึ่งสารสกัดที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานินที่เซลล์ผิวหนังได้ โดยการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่มีบทบาทในการสังเคราะห์เมลานิน

สำหรับใครที่สนใจเซรั่มคาร่า สามารถสั่งซื้อได้เลยผ่านทุกช่องทางจัดจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์, ไลน์  @KARASKIN, Shopee หรือ Lazada มาในราคาพิเศษเพียง 690 บาท จากปกติ 1,380 บาท

2. เลเซอร์รอยสิว

การทำเลเซอร์หน้า เป็นอีกหนึ่งวิธีรักษารอยแดงและรอยดำที่เกิดจากสิวได้อย่างเห็นผล แต่จะมีข้อจำกัดตรงที่มีค่าใช้จ่ายสูง อาจอยู่ที่หลักพันถึงหลักหมื่นบาทต่อการทำ 1 ครั้ง และจำเป็นต้องทำติดต่อกันหลายครั้งถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทำเลเซอร์ลดรอยสิวก็คือ จะต้องเลือกชนิดของเลเซอร์ให้เหมาะกับรอยสิวที่เป็นอยู่ด้วย ซึ่งรอยแดงและรอยดำที่เกิดจากสิวจะใช้ชนิดของเลเซอร์ที่ต่างกัน ดังนี้

  • รอยแดง : ควรรักษาด้วยเลเซอร์เพาซ์ดายด์ (Pulsed Dye Laser) ที่มีคุณสมบัติในการทำให้เส้นเลือดฝ่อตัว จะช่วยให้รอยแดงที่เกิดจากการขยายตัวของเส้นเลือดค่อย ๆ จางหายไปได้
  • รอยดำ : ควรรักษาด้วยเลเซอร์กลุ่มคิวสวิตซ์​ (Q-Switched) หรือพิโคเซคเคินเลเซอร์ (Picosecond Laser) ที่มีคุณสมบัติในการทำให้เม็ดสีแตกตัว จะช่วยให้รอยดำจางลงได้อย่างรวดเร็ว

3. มาส์กหน้า

การมาส์กหน้าเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการทำทรีตเมนต์ผิว เพราะจะช่วยให้ผิวได้รับการบำรุงจากสารสกัดอย่างล้ำลึกมากกว่าการทาครีมทั่ว ๆ ไป โดยมาส์กหน้าจะมีหลายรูปแบบ เช่น มาส์กครีมเนื้อเข้มข้น มาส์กผง มาส์กเจล หรือมาส์กชีท เป็นต้นการเลือกมาส์กหน้ารักษารอยแดง หรือรอยดำที่เกิดจากสิวนั้น จะมีหลักการคล้าย ๆ กับการเลือกครีมรักษารอยสิว คือเลือกมาส์กหน้าที่มีสารบำรุงในการลดรอยดำรอยแดงจากสิวโดยเฉพาะ สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกใช้มาส์กหน้าตัวไหนดี สามารถทำแผ่นมาส์กหน้าลดรอยสิวด้วยตนเองแบบง่าย ๆ โดยการนำเซรั่มคาร่ามาใส่แผ่นมาส์กชีทให้ชุ่ม ๆ แล้วนำมามาส์กหน้าสัก 10 – 15 นาที รับรองว่าเห็นผลอย่างแน่นอน

4. สครับหน้า

การสครับหน้าสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ หรือสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้าออก ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดสิวชนิดต่าง ๆ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วย

ทั้งนี้การสครับหน้าจะเหมาะกับผู้ที่รักษาสิวจนหายดีแล้ว ในคนที่มีสิวอักเสบอยู่ การสครับหน้าอาจกระตุ้นให้สิวอักเสบมากขึ้นได้ เพื่อป้องกันการเกิดการระคายเคืองจากการสครับหน้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สครับหน้าที่อ่อนโยน เม็ดสครับละเอียด ไม่บาดผิว และไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป

5. กินอาหารเสริม

การรับประทานวิตามิน หรืออาหารเสริมในรูปแบบต่าง ๆ ก็มีส่วนช่วยให้รอยแดงและรอยดำจากสิวดีขึ้นด้วยเช่นกัน เช่น วิตามินซีและซิงค์ที่มีส่วนช่วยให้กระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น วิตามินอีที่มีส่วนช่วยปกป้องผิวจากสารอนุมูลอิสระ หรือวิตามินเอที่มีส่วนช่วยลดการอักเสบจากรอยสิว

อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมทุกชนิด ไม่ควรซื้อมารับประทานด้วยตัวเอง และไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

วิธีดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดสิว

นอกจากการรักษาให้รอยสิวจางลงแล้ว คุณจะต้องดูแลผิวให้แข็งแรงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวด้วย นั่นจึงจะเป็นการรักษารอยสิวที่ต้นตออย่างแท้จริง สามารถดูแลผิวได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน สามารถทำความสะอาดได้อย่างหมดจด แต่ไม่แห้งตึง
  • ทาครีมบำรุงผิว หรือเซรั่มที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว เสริมสร้างเกราะปกป้องชั้นผิว และทำให้ผิวหน้าแข็งแรง
  • ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ ขึ้นไป เพื่อปกป้องผิวจากการถูกทำลายจากแสงแดด และลดการกระตุ้นให้รอยดำมีสีที่เข้มขึ้น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการรับประทานของทอด ของมัน หรือของหวาน
  • ดื่มน้ำให้เพียงต่อความต้องการของร่างกาย หรืออย่างน้อยวันละ 8 – 10 แก้ว
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการเกิดความเครียดมาก ๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะจะกระตุ้นให้เกิดสิวได้
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะดูแลผิวดีแค่ไหน สิวก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้อยู่ดี ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่เมื่อสิวเกิดขึ้นแล้วก็ควรที่จะรักษาอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงการแกะ หรือบีบด้วยตนเอง และใช้ยารักษาสิวที่เภสัชกร หรือแพทย์แนะนำ ก็จะช่วยลดโอกาสเกิดรอยสิวหลังจากที่สิวหายดีได้

จะเห็นได้ว่า รอยแดงจากสิว รอยดำจากสิว รับมือไม่ยากเลย แค่เรารู้จักสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยสิว และรับมืออย่างถูกวิธี ก็จะช่วยลดโอกาสเกิดรอยสิวได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดรอยสิวแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เพียงแค่ทาครีมรักษารอยสิวที่มีประสิทธิภาพอย่างเซรั่มคาร่า ร่วมกับการดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธี ไม่ว่าจะเป็น การทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดรอยสิว ก็จะช่วยให้รอยสิวที่เป็นอยู่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

แชร์หน้านี้
สนใจติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม